เอกสารชุดนี้ ถูกคัดลอกมาจากคู่มือการอบรมไฮโดรโปนิกส์ ของ EasyPlants
รายละเอียดการอบรมไฮโดรโปนิกส์ EasyPlants ครั้งที่ 5
"
ตารางการอบรม
13:30 - ลงทะเบียนผู้เข้ารับอบรม รับเอกสาร พร้อมรับประทานอาหารว่างและเครื่องดื่ม
14:00 - หลักสูตรไฮโดรโปนิกส์เบื้องต้น (Soilless Culture)
- ทำความเข้าใจไฮโดรโปนิกส์ ระบบไฮโดรโปนิกส์ และทำไมต้องไฮโดรโปนิกส์
- ผักออร์แกนนิกส์และผักไฮโดรฯ ต่างกันอย่างไร และผักไฮโดรปลอดภัยหรือไม่
- ระบบไฮโดรโปนิกส์ในแบบต่างๆ NFT, DFT, DRFT, AEROPONICS, AQUAPONICS
15:00 - เรียนรู้เทคนิกการเลือกระบบและการทำไฮโดรโปนิกส์เบื้องต้น (ลงมือปฏิบัติจริง)
- เรียนรู้การวางแผนการเลือกชนิดของไฮโดรโปนิกส์ สำหรับการปลูกเพื่อบริโภคหรือการค้า
- ลงมือปลูกจริง ตั้งแต่ต้นจนจบ (ด้วยระบบ DFT)
- แนะนำเทคนิกการดูแลอุปกรณ์และการป้องกันศัตรูของผักไฮโดรฯ
- ถาม-ตอบ ข้อสงสัย ปัญหาต่างๆ
สถานที่จัดอบรม - 269/282 ซอยจรัญสนิทวงศ์35 แยก22
เบอร์ติดต่อ - คุณสา 086-310-0374 หรือ คุณบิ๊ก 086-789-5717 หรืออินบ๊อกเข้ามาที่
www.facebook.com/easyplants หรือ Line: KennyStoneHead
EasyPlants Hydroponics Workshop 5th “ไฮโดรโปนิกส์” (hydroponics) มาจากการผสมคำระหว่างคำ 3 คำ คือ ไฮโดร (hydro) ที่แปลว่าน้ำ, โปโนส (ponos) ซึ่งเป็นภาษากรีกที่แปลว่าการทำงาน, และคำว่า อิกส์ (ics) ที่แปลว่าศาสตร์หรือศิลปะ เมื่อรวม 3 คำเข้าด้วยกันจึงมีความหมายตามรูปศัพท์ว่า “ศาสตร์หรือศิลปะว่าด้วยการทำงานของน้ำ” การปลูกพืชไร้ดิน สามารถสืบย้อนไปราว 600 ปีก่อนคริสตกาล เรียกว่า “สวนลอยบาบิโลน” หรือ “Hanging Gardens of Babylon” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรัก สร้างโดยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 แห่งกรุงบาบิโลเนีย (1) ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 11 สวนลอยแห่งอัสเต็กซ์ ในประเทศแมกซิโก (Chinampas of Maxico/Floating Garden) เป็นการปลูกพืชโดยการสร้างแปลงปลูกด้วยดินและเลนในแม่น้ำ ก่อให้เป็นแปลงอยู่กลางน้ำ และปลูกพืชบนแปลง (2) เทคนิกการปลูกแบบนี้เราสามารถเห็นได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น การปลูกพืชของชาวอินเล ในประเทศเวียดนาม(3) ต่อมา ใน ค.ศ. 1700 นักวิจัยชาวอังกฤษ ชื่อ จอห์น วูดเวิด (John Woodward) ได้ทดลองการปลูกพืชในน้ำ โดยได้เติมดินลงไปหลายชนิด ซึ่งการการทดลองครั้งนี้ทำให้ทราบว่า นอกเหนือจากน้ำแล้วยังมีสารอื่นๆ ที่พืชต้องการ และเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 นักสรีรวิทยาพืชชาวเยอรมัน ชื่อ ซาคส์ (Sachs) และ ครอพ (Knop) ได้ทำการปลูกพืชในสารละลายของเกลืออนินทรีย์ ในปี 1929 ศาสตราจารย์ Gericke แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เขาได้พบว่าพืชสามารถเจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องใช้ดิน และสามารถเจริญเติบโตไปได้จนเต็มอายุพืช โดยเขาได้ทำการทดลองปลูกมะเขือเทศในน้ำจนได้ผลขนาดใหญ่อย่างน่าแปลกใจ และเขาได้ทำการเทียบคำศัพท์ในภาษากรีก และได้บัญญัติคำว่า Hydroponics / ไฮโดรโปนิกส์ ขึ้นมาเป็นคนแรก
|
John Woodward |
ยุคปัจจุบัน
เทคนิกการปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์ ได้ถูกพัฒนาและวิจัยอย่างต่อเนื่อง จนในปัจจุบันการปลูกพืชไม่เพียงแต่ปลูกด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการพัฒนาการปลูกด้วยการใช้วัสดุทดแทนดินทั้งหมดและรดด้วยสารละลายธาตุอาหารพืช หรือที่เรียกว่า ซับส์เทรต คัลเจอร์ (Substrate Culture) หรือ มีเดีย คัลเจอร์ (Media Culture) หรือ แอกกรีเกต ไฮโดรโปนิกส์ (Aggregate Hydroponics) จากเทคนิกดังกล่าวจึงนิยมเรียกว่า “การปลูกพืชไร้ดิน” หรือ “การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน” (Soilless Culture) (4)
ผักออร์แกนนิก (ผักอินทรีย์) กับ ผักไฮโดรโปนิกส์
มีข้อโต้เถียงกันว่า ระหว่างผักออร์แกนนิก และผักไฮโดรฯ การปลูกแบบไหนปลอดภัยกว่ากัน เพราะอย่างที่รู้กันอยู่ว่า การปลูกผักแบบออร์แกนนิกเป็นการปลูกแบบธรรมชาติ โดยใช้ปุ๋ยจากธรรมชาติเป็นหลัก และงดการใช้สารเคมีทั้งหมด ส่วนการปลูกแบบไฮโดรฯ จะใช้สารละลายปุ๋ยเป็นหลัก หากมองกว้างๆ แล้วการปลูกผักด้วยสองวิธีนี้มีข้อแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรียกง่ายๆ ว่า “คนละขั้ว” แต่หากมองให้ลึกลงไป พืชดูดซึมธาตุอาหารจากทั้งดินและน้ำในรูปแบบของสารอาหารขนาดเล็ก โดยขบวนการออสโมซิสผ่านผนังเซลล์ของขนราก ไม่ว่าการปลูกในระบบไหน พืชก็จะสามารถดูดซึมสารอาหารผ่านประจุไอออนในน้ำเท่านั้น
ข้อดีของไฮโดรโปนิกส์
- การปลูกแบบไฮโดรฯ ช่วยประหยัดน้ำในการเกษตรได้มากว่าการปลูกแบบดินได้หลายเท่า เพราะน้ำถูกนำมาวนใช้ใหม่ได้
- ผักที่ได้จากการปลูกแบบไฮโดรฯ จะมีความนุ่มและกรอบมากกว่าการปลูกแบบดิน
- ผักปลูกด้วยระบบไฮโดรฯ จะโตไวกว่า ระยะเก็บเกี่ยวสั้นกว่า 1-2 สัปดาห์เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกบนดิน เนื่องจากรากพืชได้รับสารอาหารตลอดเวลา จึงเหมาะกับการปลูกพืชที่มีอายุสั้น เช่น ผักกินใบ – ผักสลัด ผักบุ้ง ผักหอม ฯลฯ
- ระบบไฮโดรฯ สามารถปลูกได้ท้งในพื้นที่ที่อำนวยและไม่อำนวยต่อการเพาะปลูก เช่น ปลูกได้ในบ้านหรือห้องใต้ดินในประเทศที่มีอากาศหนาวกว่าจุดเยือกแข็งตลอดเวลา ปลูกได้ในทะเลทราย ที่น้ำขาดแคลนอย่างมาก ปลูกได้ในสถานีอวกาศที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างคือข้อจำกัด
- การปลูกแบบไฮโดรฯ ช่วยประหยัดพื้นที่ในการปลูกกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับการปลูกบนดิน การจัดการพื้นที่การปลูกแบบไฮโดรฯ โดยว้นช่องห่างให้พอเหมาะกับขนาดพุ่มของผักแต่ละชนิด ทำให้สามารถใช้ทุกตารางนิ้วได้อย่างสูงสุด
- เกษตรกรสามารถควรคุมสารอาหารทั้งหมดที่พืชต้องการ โดยการจัดสูตรปุ๋ยให้พืชแต่ละชนิดได้เลย เช่น สูตรปลูกผักกินใบ สูตรปลูกเมลอน สูตรปลูกผักกินผลยืนต้น กลุ่ม มะนาว มะเขือเทศ เป็นต้น
- การควบคุมโรคทำได้ง่ายกว่า เพราะโรคในพืชส่วนใหญ่จะมากับดินและสิ่งมีชีวิตในดิน
- การจัดการลดปริมาณของไนเตรทในพืชที่ปลูกโดยไม่ใช้ดินจะทำได้ง่ายกว่าพืชที่ปลูกบนดินเพราะเราสามารถกำหนดใช้ความเข้มข้นของสารละลายธาตุอาหารที่ปลูกเลี้ยงได้ระดับต่ำ หรือเลือกใช้สารละลายธาตุอาหารที่มีความเข้มข้นต่ำมากนอกจากนี้การลดไนเตรทยังทำได้ด้วยการให้พืชได้รับแสงเพียงพอและอย่าให้พืชขาดโมลิบดีนัม (พืชผักที่มีไนเตรทสูงเมื่อนำมาบริโภคจะเกิดโทษต่อร่างกายเพราะไนเตรทเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็นไนไตรท์ซึ่งสามารถยับยั้งการพาออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ในร่างกายของเม็ดเลือดแดงได้ทำให้เกิดอาการขาดอากาศเฉียบพลันและยังสามารถไปรวมกับสารประกอบอะมีนในร่างกาย และกลายเป็นไนโตรซามีน (Nitrosamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่งได้
- สารไนเตรดที่ตกค้างในผัก สามารถทำการลดได้โดยการเปลี่ยนถ่ายสารละลายออก และเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่า ปล่อยให้ผักกินน้ำเปล่าเป็นเวลา 3-7 วัน ก่อนเก็บเกี่ยว เราอาจะเรียกวิธีการนี้ว่า การดีท๊อกซ์ผัก
- ในนิตยสารการเกษตรญี่ปุ่นฉบับหนึ่ง เคยกล่าวเกี่ยวกับสารไนเตรทตกค้างในผักไฮโดรว่า ปริมาณสารตกค้างที่จะก่อให้เกิดอันตรายนั้น เมื่อเทียบกับการทานผักสลัดแล้ว ก็เปรียบได้ว่า ในหนึ่งปี ต้องทานผักสลัดที่มีสารตกค้างไนเตรทเข้มข้นในจำนวนถึง 1 ล้านต้น ถึงจะมีผลต่อการต่อเมร็ง ทั้งนี้การทานก็ต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลด้วย
ข้อเสีย
- การเริ่มต้นในระบบไฮโดรโปนิกส์ต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูง
- อุปกรณ์ต่างๆ ในการทดสอบค่าปุ๋ย ระบบน้ำ ค่าความเป็นกรดด่าง อุณภูมิน้ำและอากาศในฟาร์ม มีราคาค่อนข้างสูง
- ผู้ปลูกต้องมีความรู้พอควรก่อนเริ่มทำการปลูกในระบบไฮโดรโปนิกส์
- การดูแลระบบในฟาร์มขนาดใหญ่ ต้องทำอย่างละเอียด
กลุ่มของการปลูกพืชไร้ดิน (Soilless Culture)
โดยทั่วไป การปลูกพืชไร้ดินจะทำกันโดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. การปลูกโดยให้รากแช่น้ำหรือสัมผัสน้ำตลอดเวลาตลอดเวลา
2. การปลูกบนวัสดุอื่นที่ไม่ใช้ดินและรดด้วยสารอาหารหรือน้ำปุ๋ย บางครั้งอาจะเรียกว่า Substrate Culture อาจจะผ่านด้วยระบบน้ำหยดหรือรดโดยตรงก็ได้ โดยวัสดุที่ใช้ เช่น ฟองน้ำ เพอร์ไลท์ (Perlite)เวอร์มิคิวไลท์ (Vermiculite) ร็อกวูล (Rockwool) หรือวัตถุอินทรีย์ เช่น พีช มอส popper ขี้เลื่อย วูลล์ กาบมะพร้าว กรวดหยาบ หินขนาดเล็ก ฯลฯ ในบางพื้นที่ เรียกการปลูกแบบนี้ว่า “Dutch Bucket” (การปลูกในถังแบบชาวดัช)
จำแนกชนิดของไฮโดรโปนิกส์ที่นิยมกันในกลุ่มนักปลูกไทย
1. NFT (Nutrient Film Technique) คือ การปลูกพืชในรางที่มีพื้นเรียบและแบน สารอาหารถูกปล่อยมาตามรางในความลึกแบบบางๆ อาจจะลึกเพียง 1-2 มิลิเมตรเท่านั้น และมีระบบน้ำไหลวนอยู่ตลอดเวลาเพื่อลำเลียงสารอาหารและอากาศให้กับพืช NFT สามารถใช้ปลูกผักสลัดได้ดี เพราะใช้พื้นที่น้อยกว่าแบบอื่นๆ
2. DFT (Deep Flow Techinque) คือ แบบรากแช่ น้ำวนหรือน้ำไม่วนก็ได้ แต่ในระบบรากพืชจะต้องแช่อยู่ในน้ำตลอดเวลา และพื้นที่ที่ใส่สารละลายต้องมีความลึกตั้งแต่ 1 – 4 นิ้ว เป็นต้น ส่วนใหญ่จะใช้ปลูกพืชกลุ่มผักสลัด ผักกินผล
3. DRFT (Deep Root Float Technique) คือ แบบรากแช่อีกแบบ แต่ต่างกันที่ พื้นที่ในการเติบโตของพืชจะมีมากมาย ความลึกตั่งแต่ 4 – 8 นิ้ว หรือ อาจจะมากกว่าก็ได้ เทคนิกนี้ถูกใช้ปลูกผักได้ในจำนวนมาก
4. AEROPONICS คือ การจับให้รากพืชลอยอยู่กลางอากาศ และใช้หัวพ่นหมอกฉีดพ่นสารละลายให้ไปสัมผัสกับรากพืช โดยการตั้งเวลาการฉีดให้เหมาะสม ระบบนี้เป็นระบบปิด 100% กล่าวคือ ทำให้การประหยัดน้ำสูงสุด แต่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก มากกว่าทุกระบบที่กล่าวมาข้างต้น แต่ในบางพื้นที่ที่น้ำขาดแคลนเป็นอย่างมาก ระบบนี้ถูกนำมาใช้เพื่อความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ และในระบบนี้ ยังเหมาะกับการปลูกพืชแบบหัวด้วย เช่น แครอท หัวหอม มันเทศ ฯลฯ
5. AQUAPONICS (อ่านว่า อะ-ควา-โป-นิก) คือ การทำประมงควบคู่ไปกับการปลูกพืช โดยหลักการ ระบบนี้จะนำของเสียจากปลา ผ่านขบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์บางชนิด และส่งสารอาหารที่ถูกย่อยให้เป็นขนาดเล็ก เล็กพอที่พืชจะดูดซึมได้ ส่งต่อไปยังระบบปลูกพืช และส่งต่อกลับไปยังบ่อเลี้ยงปลาอีกรอบหนึ่ง ระบบนี้ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ในไทย เพราะการลงทุนค่อนข้างมากและยังต้องอาศัยความรู้ในหลายๆ ด้านประกอบกันอีกด้วย
หลักการ
- คือ การนำของเหลือหรือของเสียจากสัตว์น้ำที่เลี้ยงไว้ในระบบที่ต่อเนื่องกัน กลับมาใช้ใหม่โดยการกำหนดให้ของเสียของสัตว์น้ำ ที่อุดมเป็นด้วยสารอาหารที่เหมาะกับพืช เช่น ขี้ปลา ขี้กุ้ง กลับมาเข้าระบบปลูกผัก ทั้งนี้จะเป็นระบบใดก็ได้ เช่น NFT, DFT, DRFT เป็นต้น และวนกลับไปมาในระบบ
- ในบางกรณีอาจจะมีการเติมจุลินทรีย์บางชนิดเพื่อช่วยในการย่อยสลายของมูลสัตว์ และให้เป็นประโยชน์ต่อพืช
- การเพาะปลูกในระบบนี้ สามารถทำให้เป็นระบบออร์แกนนิกส์ 100% (100% organics)
- ในปัจจุบันมีการปลูกด้วยวิธีค่อนข้างน้อย แต่กำลังได้รับการตอบรับอย่างดีในกลุ่มนักปลูกแบบอินทรีย์
6. Dutch Bucket หรือ ระบบน้ำหยด (น้ำไหลเวียนหรือไม่ไหลเวียนก็ได้) ในไทยนิยมใช้กันในการปลูกพืชอวบน้ำกินผล เช่น เมลอน แตงโม มะเขือเทศ มะนาว ฯลฯ เนื่องจากพืชกลุ่มเหล่านี้เป็นพืชที่มีอายุยาวนานกว่ากลุ่มผักสลัด และรอบการเก็บค่อนข้างนานกว่า การทำระบบน้ำหยดจึงมีประสิทธิภาพมากกว่า สารอาหารถูกปล่อยไปตามท่อเล็กๆ และค่อยๆ ปล่อยลงไปที่โคนต้นทีละหยด ความเร็วของการหยดถูกปรับให้เข้ากับระยะการเติบโตของพืชและอุณหภูมิในแต่ละวันได้
ในปุ๋ยไฮโดรโปนิกส์ มีอะไรบ้าง
โดยปกติสารอาหารจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ สารอาหารหลัก และ สารอาหารรอง
สารอาหารหลัก ได้แก่ N—Nitrogen, P—Phosphorus, K—Potassium
สารอาหารรอง ได้แก่ สารอื่นๆ อีกว่า 20 ชนิด เช่น โบรอน แมกนีเซียม แคลเซียม ซัลเฟอร์ เหล็ก ทองแดง มังกานีส โมบีรีนัม คลอไรด์ โซเดียม ฯลฯ
**ตารางด้านล่างกล่าวถึง สารอาหารที่ควรมีอยู่ในสารละลายปุ๋ยหรือสูตรปุ๋ยไฮโดรโปนิกส์ ในบางสูตรอาจจะมีมากกว่านี้ แต่ไม่ควรน้อยกว่านี้
Common nutrient ranges in hydroponic nutrient solutions
ชนิดของอาหารพืชที่มีอยู่ในสารละลายอาหารไฮโดรโปนิกส์
Element |
Ionic forms absorbed by plants |
common range |
Nitrogen |
Nitrate (NO3-), |
100-250 |
Phosphorus |
H2PO4-, PO43-, |
30-50 |
Potassium |
Potassium (K+) |
100-300 |
Calcium |
Calcium (Ca2+) |
80-140 |
Magnesium |
Magnesium (Mg2+) |
30-70 |
Sulfur |
Sulfate (SO42-) |
50-120 |
Iron |
Fe2+, Fe3+
|
1.0-3.0 |
Copper |
Copper (Cu2+) |
0.08-0.2 |
Manganese |
Manganese (Mn2+) |
0.5-1.0 |
Zinc |
Zinc (Zn2+) |
0.3-0.6 |
Molybdenum |
Molybdate (MoO42-) |
0.04-0.08 |
Boron |
BO32-, B4O72- |
0.2-0.5 |
Chloride |
Chloride (Cl-) |
<75 |
Sodium |
|
<50 |
ยกตัวอย่าง ข้อมูลจากเวป www.maximumyield.com ได้แจกสูตรสำหรับปรุงสารละลายปุ๋ยไฮโดรฯ สำหรับการปลูกผักสลัดแก้ว ไว้ดังนี้
EXAMPLE: Hydroponic nutrient formulation for NFT lettuce crops using RO water for winter growth. This example shows commonly used fertilizer salts and may not be ideal for all situations, systems and crops. Note that the potassium nitrate is split between the A and B stock solutions to assist with solubility. A dilution of one in 100 will give an EC of 1.6 and TDS of 1,120.
แปล: นี่คือสูตรอาหารสำหรับการปลูกผักสลัดแก้วในระบบ NFT โดยใช้น้ำที่ผ่านระบบรีเวอสออสโมซีส (RO – Reverse Osmosis) สำหรับการปลูกในช่วงฤดูหนาว ตัวอย่างที่ให้ต่อไปนี้เป็นเพียงสูตรทั่วๆ ไป อาจจะไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมอื่น ชนิดของพืชที่ปลูก และระบบไฮโดรโปนิกส์ที่ใช้
Stock Solution A (50 liters)
Calcium nitrate 4,010 g
Potassium nitrate 800 g
Iron chelate (10%) 179 g
Stock Solution B (50 liters)
Potassium nitrate 800 g
Monopotassium phosphate 1,090 g
Magnesium sulphate 2,132 g
Manganese sulphate 41 g
Boric acid 19.5 g
Zinc sulphate 5.5 g
Copper sulphate 1.5 g
Sodium molybdate 0.5 g
This formulation would give the following ppm of each element at a 1:100 dilution rate:
Nitrogen=166 ppm
Phosphorus=46 ppm
Potassium=179 ppm
Magnesium=42 ppm
Calcium=160 ppm
Sulphur=55 ppm
Iron=3.5 ppm
Manganese=2 ppm
Zinc=0.25 ppm
Boron=0.70 ppm
Copper=0.07 ppm
Molybdate=0.05 ppm.
Suggested Nutrient Solutions for Various Crops สารอาหารที่ควรมี (พืชหลายชนิด)
|
ลักษณะและอาการที่น่าสังเกตุเมื่อพืชมีความผิดปกติ
ลักษณะการเกิดความผิดปกติในพืชที่ปลูก สามารถสังเกตุได้จากใบ ต้น ดอก ผล หรือแม้แต่ราก หากอาการผิดปกตินั้นเกิดจากสารอาหารเป็นหลัก โดยอาจจะเกิดจากพืชได้รับสารอาหารมากเกินไปหรือน้อยเกินไปหรือขาดแคลนสารอาหารบางชนิด ตารางด้านล่างคือความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดจากสารอาหารพืช และวิธีแก้ไข (คัดลอกมาจาก http://ag.arizona.edu/hydroponictomatoes/nutritio.htm) (ขอไม่พิมพ์แปลนะครับ ย้าวยาว แต่จะสรุปให้ฟังครับ)
Nutritional disorders can be very complex, involving temperature, humidity, day length and disease as well as nutrient levels. Multiple disorders can produce a syndrome which does not resemble any single disorder. Some growers feel that relying on plant disorder symptoms is a reactive, not a pro-active approach, since by the time symptoms appear, the yields will already have been adversely affected. Symptoms of nutritional disorders should never be ignored, however, and excellent sources of information are available to key out specific problems (see section on Links and References in this website). Professional growers should keep such sources and horticultural experts near at hand, and have their nutrient solutions analyzed routinely. Table 4 outlines some common nutrient disorder symptoms in tomatoes.
Table 4. Common Nutrient Disorders in Tomatoes (adapted from Resh, 1995)
Element |
Deficiency |
Toxicity |
Nitrogen |
older leaves are chlorotic (yellow), spindly plants, small fruit remedy: use foliar spray of 0.25% to 0.5% solution of urea |
plants dark green with abundant foliage but little root growth or fruit production, flower drop |
Phosphorus |
plants stunted, maturity delayed, purplish color under younger leaves |
no recognizable symptoms, however Cu and Zn deficiencies may occur in presence of excess P |
Potassium |
older leaves chlorotic, with scattered dead spots. uneven ripening in fruit (blotchy) remedy: use foliar spray of 2% potassium sulfate |
not usually absorbed by plants in excessive amounts, but high levels may lead to deficiencies in Mg, Mn, Zn, or Fe |
Sulfur |
S deficiency is very rare, some yellowing in young leaves, upper leaves become stiff and curl downward. stems, veins, and petioles turn purple |
stunted growth, may see interveinal yellowing or leaf burning |
Magnesium |
interveinal chlorosis on older leaves remedy: use foliar spray with 10% magnesium sulfate |
no visual symptoms |
Calcium |
Blossom end rot on fruit, yellowing on margins of young leaves, undersides turning purple, curling of leaves. growing tip and root tip death, thick woody stems. can be caused by boron deficiency remedy: foliar spray of 0.75 to 1.0% calcium nitrate solution or 0.4% calcium chloride |
no visual symptoms |
Iron |
pronounced interveinal chlorosis on young leaves, starting at margins and spreading through entire leaf. stunted growth and aborted flowers. High pH can lead to iron deficiency, low pH can lead to preferential uptake of aluminum, restricting iron absorption remedy: foliar spray with 0.2 to 0.5% iron chelate every 3 to 4 days |
not usually a problem |
Chlorine |
very rarely a problem, but manifests as wilted leaves, chlorotic with a bronze color. stunted root growth |
burning of leaf tips, bronzing or yellowing, leaf drop and stunted growth |
Manganese |
interveinal chlorosis on older leaves, light green leaves with dead patches ringed in yellow, few flowers or fruit remedy: foliar spray using 1% solution of manganese sulfate |
chlorosis, stunted growth |
Boron |
growing points wither and die, interveinal chlorosis of upper leaves, brittle leaves. boron deficiency can lead to calcium deficiency remedy: use a foliar spray of 0.1 to 0.25% borax |
yellowing of leaf tip, leading to browning |
Zinc |
reduction of internode length, puckered margins on leaves, brown spots on petioles, small leaves, sometimes long and narrow remedy: foliar spray with 0.1 to 0.5% solution of zinc sulfate |
commonly accompanied by Fe chlorosis |
Copper |
young leaves dark green and misshapen, curling into a tube, petioles bent downward, few or no flowers remedy: use foliar spray with 0.1 to 0.2% solution of copper sulfate to which 0.5% hydrated lime has been added. |
reduced growth, symptoms of Fe chlorosis |
Molybdenum |
interveinal chlorosis on older leaves, margins of leaves curl up upward remedy: foliar spray with 0.07 to 0.1% solution of ammonium or sodium molybdate |
tomato leaves turn golden yellow |
As soon as any deficiency is confirmed, the nutrient solution should be changed with the concentration of the deficient element increased 25 to 30%. After the deficiency is rectified, the concentration should be lowered back down to slightly higher than normal levels. Foliar sprays can be applied for a faster response, however burning of the plants may result. It is best to test a foliar spray on a few plants and wait several days to observe the effects before spraying a whole crop.
บทสรุป
ไม่ว่าจะเลือกปลูกพืชในระบบไหนก็ตาม ขอให้พิจารณาตามความเหมาะสมกับความต้องการของผู้ปลูก ไม่ว่าจะเป็นการปลูกเพื่อการบริโภคเองเพียงอย่างเดียวหรือจะเป็นการปลูกเพื่อการค้า เพราะการลงทุนค่อนข้างสูงและต้องอาศัยการศึกษาในรายละเอียดค่อนข้างมาก (มากกว่าการปลูกดินแน่นอน ลองมาแล้ว) แต่ถ้าท่านต้องการทดลองปลูกเพื่อเป็นการศึกษา ท่านก็สามารถดัดแปลงอุปกรณ์ต่างๆ เองได้ โดยไม่ต้องซื้อหาอุปกรณ์เฉพาะ เหลือไว้เพียงอุปกรณ์สำคัญๆ เช่น ปุ๋ยน้ำไฮโดร และเมล็ดพันธุ์เท่านั้น
ขอให้เพื่อนๆ ที่เข้าอบรมทุกท่าน จงมีสุขภาพกายและใจที่ดีและขอสนุกกับการปลูกผักนะครับ
ผู้อบรม: Mr. EasyPlants 086-789-5717
เวปติดต่อ: www.thaieasyplants.com
Facebook: www.facebook.com/easyplants
Line: KennyStoneHead
Email: ThaiEasyPlants@gmail.com
ข้อมูลอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Hydroponics (1)
https://en.wikipedia.org/wiki/Chinampa (2)
http://www.oknation.net/blog/Chaoying/2013/09/26/entry-1 (3)
หนังสือ “สุขภาพดี เพราะปลูกผักบนคอนโด” โดย Mr. EasyPlants: ISBN: 978-616-301-4344 (4)
http://www.youtube.com